Gitlab Logo

GitLab Platform คืออะไร

ในยุคที่องค์กรไอทีต้องเร่งสร้างนวัตกรรม GitLab Platform ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์ม DevSecOps ครบวงจรที่ช่วยให้การพัฒนาซอฟต์แวร์รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น ภายใต้แพลตฟอร์มเดียว ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ (Dev), ทีมความปลอดภัย (Sec) และทีมปฏิบัติการ (Ops) สามารถทำงานร่วมกันตลอดวงจรชีวิตของซอฟต์แวร์ได้อย่างราบรื่น ด้วยความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ GitLab Platform ช่วยให้องค์กร “ส่งมอบซอฟต์แวร์ได้ดีขึ้นและเร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มเดียวที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการส่งมอบซอฟต์แวร์” ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน, พัฒนาโค้ด, ทดสอบ, ปรับใช้ หรือการดูแลหลังส่งมอบ

องค์กรชั้นนำมากมายเชื่อมั่นใน GitLab Platform กว่า 50% ของบริษัทกลุ่ม Fortune 100 เลือกใช้ GitLab เป็นเครื่องมือหลักของพวกเขา สะท้อนถึงคุณค่าที่แพลตฟอร์มนี้มอบให้แก่องค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้ GitLab ยังมีชุมชนผู้ใช้งานหลายสิบล้านคนทั่วโลก เป็นหลักฐานถึงการยอมรับและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม DevSecOps รายนี

DevSecOps แบบ End-to-End ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

GitLab โดดเด่นด้วยการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในทุกขั้นตอนของ End-to-End DevSecOps Lifecycle ทำให้การพัฒนาและการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นไปอย่างชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น. ความสามารถ AI ใน GitLab (ภายใต้ชื่อชุดฟีเจอร์ GitLab Duo) ช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยมือและแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นงานของนักพัฒนา เจ้าหน้าที่ทดสอบ หรือทีม SecOps ก็ตาม จุดเด่นของการใช้ AI ใน GitLab ได้แก่:

Gitlab DevSecOps Life Cycle
  • AI ช่วยในขั้นตอนการเขียนโค้ดและทดสอบ: มีฟีเจอร์อย่าง Code Suggestions ที่แนะนำโค้ดให้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้นักเขียนโปรแกรมสร้างโค้ดที่ปลอดภัยได้เร็วขึ้น และ Test Generation ที่สร้างชุดการทดสอบให้อัตโนมัติ ช่วยจับบั๊กได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ลดเวลาการเขียนเทสต์ซ้ำๆ ของทีม

  • AI เสริมความมั่นคงปลอดภัย: GitLab Duo สามารถสแกนและวิเคราะห์ช่องโหว่ความปลอดภัยในโค้ดได้อย่างชาญฉลาด พร้อมทั้งอธิบายความเสี่ยงที่พบอย่างละเอียด และยังสามารถสร้าง Merge Request เพื่อแก้ไขช่องโหว่นั้นให้อัตโนมัติ ช่วยลดภาระของทีม Security ในการค้นหาและแก้ไขปัญหา

  • AI ช่วยวิเคราะห์และแก้ปัญหาใน CI/CD: เมื่อเกิดปัญหาใน pipeline (เช่น job ล้มเหลว) AI ใน GitLab จะช่วยระบุสาเหตุที่เป็นไปได้ของความล้มเหลวนั้น พร้อมแนะนำแนวทางการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมสามารถแก้ปัญหา CI/CD ได้ไวขึ้นโดยไม่ต้องลองผิดลองถูกมากนัก

  • แนวทาง AI แบบ Privacy-First: GitLab ออกแบบการใช้งาน AI โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวขององค์กร โค้ดของลูกค้าจะไม่ถูกนำไปใช้ในการฝึก AI Models ของ GitLab เอง และลูกค้าสามารถเลือกใช้โมเดล AI ที่เหมาะกับตนได้อย่างยืดหยุ่น (GitLab ไม่ผูกติดกับผู้ให้บริการ LLM รายใด). สำหรับองค์กรที่ต้องการควบคุมข้อมูลภายในอย่างเข้มงวด GitLab ยังมี Duo Self-Hosted (Duo Enterprise) ซึ่งเป็นทางเลือกให้ติดตั้งระบบ AI บนโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรเอง ช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จาก AI ได้เต็มที่พร้อมกับรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้สูงสุด

ฟีเจอร์หลักของ GitLab Platform

GitLab Platform รวมความสามารถหลากหลายที่ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การจัดการซอร์สโค้ด ไปจนถึงการดีพลอยและการรักษาความปลอดภัย ทั้งหมดอยู่ในที่เดียว. หัวข้อต่อไปนี้สรุปฟีเจอร์หลักที่โดดเด่นของแพลตฟอร์มนี้:

GitLab CI/CD

  • Pipeline อัตโนมัติครบวงจร: GitLab มีระบบ Continuous Integration/Continuous Delivery (CI/CD) ในตัว ที่ช่วยรันกระบวนการ Build, Test, Package และ Deploy ซอฟต์แวร์อัตโนมัติทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ตั้งแต่โค้ดถูก commit จนดีพลอยสู่โปรดักชัน เพื่อให้สามารถปล่อยโค้ดคุณภาพสูงได้บ่อยและรวดเร็วยิ่งขึ้น

  • Template และไฟล์กำหนดค่าให้พร้อมใช้: ไม่ต้องเริ่มเขียน pipeline ใหม่ทุกครั้ง – GitLab มี CI/CD templates และ CI/CD Catalog ที่มี component สำเร็จรูปให้เลือกใช้หรือปรับแต่ง ช่วยให้ทีมตั้งค่า pipeline มาตรฐานได้อย่างรวดเร็วและแบ่งปันภายในองค์กรได้ง่าย

  • ฟีเจอร์ Pipeline ขั้นสูง: เพื่อจัดการ pipeline ที่ซับซ้อน GitLab รองรับฟีเจอร์อย่าง Merge Trains (รวม Merge Request หลายอันเข้าด้วยกันเพื่อตรวจสอบก่อน merge จริง ช่วยให้สาขา main หรือ trunk ปลอดภัยตลอดเวลา) และ Parent-Child Pipelines (แบ่ง pipeline ขนาดใหญ่เป็นส่วนย่อย ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการรัน)

  • Flexible Runners: GitLab มี GitLab Runner (เอเจนต์ที่ใช้รันงาน CI/CD) ให้เลือกใช้งานได้ทั้งแบบ Shared Runners ที่โฮสต์โดย GitLab (บน Cloud) หรือจะนำ Private Runners ขององค์กรมาใช้เองก็ได้ ทำให้สามารถปรับเพิ่มขยายขีดความสามารถ CI/CD ได้ตามต้องการ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ไม่จำเป็นต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์รันงานเองถ้าใช้ของ GitLab)

  • ผสานการสแกนความปลอดภัยใน Pipeline: จุดเด่นของ GitLab CI/CD คือมีการผนวกรวม Security Scanning ต่างๆ เข้ากับ pipeline โดยตรง เช่น การสแกนโค้ดเพื่อหาช่องโหว่ (SAST), การสแกนแอปที่รันจริง (DAST) และการตรวจสอบ Dependency ฯลฯ ระบบจะรันการสแกนเหล่านี้อัตโนมัติทุกครั้งที่ pipeline ทำงาน และแสดงผลลัพธ์ใน Merge Request ทำให้นักพัฒนาสามารถตรวจและแก้ไขปัญหาความปลอดภัยได้ตั้งแต่ก่อนโค้ดขึ้นสู่โปรดักชัน

Source Code Management

  • Git-based Repository และการจัดการเวอร์ชัน: GitLab มีระบบจัดการซอร์สโค้ดที่สร้างบนพื้นฐานของ Git ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถ clone โค้ดไปทำงานที่เครื่องตัวเองและ branch เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังรองรับการ branch และ merge อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักพัฒนาหลายคนสามารถทำงานขนานกันในโปรเจ็กต์เดียวได้โดยไม่ชนกัน และลดเวลาจากไอเดียสู่งานที่ส่งมอบได้อย่างมาก

  • Collaborative Code Review ด้วย Merge Requests: GitLab มีระบบ Merge Request (MR) ที่ทรงพลัง ซึ่งใช้เป็นศูนย์กลางในการเปรียบเทียบการแก้ไขโค้ด (diff), การแสดงความคิดเห็นรีวิวโค้ด, และการรวมโค้ดเข้ากับสาขาหลัก ทีมสามารถตั้ง ผู้ตรวจสอบหรืออนุมัติ (Approvers) สำหรับแต่ละ MR และกำหนดกฎเกณฑ์ว่าต้องมีการอนุมัติจากใครบ้างก่อนจึงจะ merge ได้ เพื่อรักษาคุณภาพซอฟต์แวร์และเพิ่มการมีส่วนร่วมของทีมในการตรวจสอบโค้ดร่วมกัน

  • Governance และ Compliance ในตัว: แพลตฟอร์มมีฟีเจอร์ด้านการกำกับดูแลโค้ดและความปลอดภัยครบครัน เช่น Protected Branches (กำหนดให้บางสาขาโค้ด push โดยตรงไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาต), ระบบกำหนด Code Owners (ระบุเจ้าของหรือผู้รับผิดชอบไฟล์โค้ดแต่ละส่วน), การตั้งค่าระดับสิทธิ์การเข้าถึงที่ละเอียดและควบคุมได้ผ่าน UI หรือเป็นโค้ด และยังมี Compliance Pipelines สำหรับตรวจสอบให้ซอฟต์แวร์เป็นไปตามนโยบายหรือมาตรฐาน (ทั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมและนโยบายภายในองค์กร) โดยอัตโนมัติในขั้นตอน CI/CD

  • Security Built-in: เพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหล GitLab มีฟีเจอร์อย่าง Secret Detection ซึ่งสามารถสแกนตรวจจับความลับ (เช่น คีย์ API, รหัสผ่าน) ที่อาจถูกใส่ลงไปในซอร์สโค้ดโดยไม่ตั้งใจ ทั้งในขั้นตอน pre-receive (ก่อน push เข้าระบบ) และการสแกนย้อนหลังไฟล์ใน repository (post-commit) รวมถึงการเก็บ Audit Logs ของกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การ push, merge, เปลี่ยนสิทธิ์ ฯลฯ ทำให้องค์กรสามารถตรวจสอบย้อนหลังและรักษาความปลอดภัยของซอร์สโค้ดได้ในระยะยาว

  • ปรับใช้ได้ยืดหยุ่นสำหรับองค์กรทุกขนาด: GitLab รองรับการติดตั้งใช้งานได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการขององค์กร – ไม่ว่าจะติดตั้ง แบบ Self-Managed ในโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร (on-premises), ใช้ GitLab SaaS บนคลาวด์ของ GitLab เอง (เป็นบริการแบบ multi-tenant), หรือเลือกใช้ GitLab Dedicated ซึ่งเป็นบริการ SaaS แบบ Single-tenant ที่ GitLab จัดสรรเซิร์ฟเวอร์แยกโดดสำหรับองค์กรคุณโดยเฉพาะก็ได้ เพื่อให้มั่นใจทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

Automated Software Delivery

  • ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นได้เร็วขึ้น: GitLab ทำให้การส่งมอบซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ – ด้วยการทำงานอัตโนมัติในทุกขั้นตอน ทีมสามารถออกซอฟต์แวร์ใหม่ได้บ่อยครั้งโดยยังรักษาคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ดีขึ้น, เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ได้เร็วขึ้น, บั๊กน้อยลง และมีเวลาโฟกัสกับการสร้างสรรค์ฟีเจอร์นวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น

  • ลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาสร้างสรรค์: GitLab ช่วย ลดงาน manual ที่ซ้ำๆ และการสลับบริบทการทำงาน (context-switching) ของนักพัฒนาให้น้อยที่สุด ผ่านระบบอัตโนมัติและเครื่องมือที่ผสานกันในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้นักพัฒนามีเวลามุ่งเน้นกับงานที่สร้างคุณค่าให้ธุรกิจจริงๆ มากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาไปกับงานดูแลระบบหรือโยกย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องมือหลายตัว

  • ข้อมูลและสถานะที่โปร่งใสในที่เดียว: ด้วยแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ GitLab ทำให้เกิด Single Source of Truth สำหรับทุกคนในทีม – ทุกขั้นตอนตั้งแต่โค้ด, การทดสอบ, การดีพลอย, จนถึงการตรวจสอบผลลัพธ์ ล้วนถูกติดตามในระบบเดียวกัน ผู้เกี่ยวข้องสามารถดู แดชบอร์ดและเมตริกต่างๆ ของ CI/CD pipeline และกระบวนการ DevSecOps ได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สามารถปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่องและให้ผู้บริหารติดตามงานได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น

  • กระบวนการมาตรฐาน ลดการพึ่งพาเครื่องมือเสริม: GitLab ช่วยให้ทุกทีมและทุกเฟสของวงจรซอฟต์แวร์ใช้เครื่องมือบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ลดการต้องพึ่งพาปลั๊กอินหรือบริการจากภายนอกที่อาจทำให้ workflow สะดุดหรือเกิดจุดล้มเหลว ระบบที่เป็นหนึ่งเดียวนี้ช่วยให้กระบวนการทำงานมีความสอดคล้องกันทั่วทั้งองค์กร และลดปัญหาที่เกิดจากการ integrate เครื่องมือหลายเจ้าที่ต่างกัน

  • ปรับขนาดการส่งมอบได้ง่าย: GitLab รองรับการขยายขนาดการใช้งานเมื่อองค์กรเติบโตขึ้นได้อย่างราบรื่น – มีทั้ง Pipeline Template สำเร็จรูปให้ใช้ และความสามารถในการสร้าง template เองเพื่อใช้ซ้ำภายใน ช่วยให้องค์กรตั้งค่า pipeline มาตรฐานที่เหมาะกับตนเอง และเมื่อจำนวนโปรเจ็กต์เพิ่มขึ้นหรือทีมขยายใหญ่ขึ้น ก็ยังคงบริหารจัดการ CI/CD ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ติดขัด (เช่น สามารถแบ่ง Stage ของ pipeline ออกเป็นหลายส่วน หรือกระจายงานไปยัง Runner หลายตัวเพื่อรักษาความเร็ว)

  • Security และ Compliance ในตัวตั้งแต่ต้นน้ำ: การส่งมอบซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง – GitLab รวม ระบบการตรวจสอบความปลอดภัยและการกำกับดูแล เข้าในทุกขั้นตอนของการส่งมอบซอฟต์แวร์ (Shift-left Security) เช่น การสแกนช่องโหว่และโค้ดตั้งแต่ในขั้นตอน commit, การตรวจสอบ compliance อัตโนมัติตามกฎที่ตั้งไว้ ฯลฯ ผลการสแกนและตรวจเหล่านี้จะแสดงใน Merge Request เดียวกัน ทำให้นักพัฒนาสามารถ ระบุ, แยกแยะ, และแก้ไขข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย ได้ก่อนที่จะขึ้นโปรดักชัน ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยโดยรวมขององค์กรลงอย่างมาก

GitLab Duo (AI)

  • AI ตลอดวงจร DevSecOps: GitLab Duo คือชุดฟีเจอร์ AI-Native ของ GitLab ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้งานในทุกบทบาทระหว่างที่ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์ม เป้าหมายคือช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานและแก้ปัญหาจุดติดขัดต่างๆ ตลอด Software Development Lifecycle (SDLC) ตั้งแต่การวางแผน, เขียนโค้ด, ทดสอบ, ตรวจสอบความปลอดภัย, ไปจนถึงการนำซอฟต์แวร์ขึ้นใช้งานจริง ทุกขั้นตอนมี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น

  • ขีดความสามารถของ GitLab Duo: ฟีเจอร์ AI ใน GitLab ครอบคลุมงานหลากหลายด้านเพื่อสนับสนุนการทำงานของ Dev, Sec และ Ops ยกตัวอย่างเช่น Code Suggestions ที่ช่วยแนะนำโค้ดหรือเติมโค้ดให้อัตโนมัติใน IDE, Test Generation ที่สร้างโค้ดสำหรับชุดทดสอบเพื่อช่วยให้นักพัฒนาจับบั๊กได้เร็ว, Explain Code ซึ่ง AI จะอ่านโค้ดและอธิบายการทำงานหรือสรุปความเปลี่ยนแปลงใน Merge Request เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย, Suggested Reviewers ที่แนะนำผู้ตรวจโค้ดที่เหมาะสมโดยดูจากประวัติการแก้ไขไฟล์นั้นๆ, ตลอดจน GitLab Duo Chat ที่ให้เราสามารถสนทนากับ AI เพื่อถามคำถามหรือขอความช่วยเหลือต่างๆ ได้ทั้งในเว็บอินเทอร์เฟซและใน IDE

  • AI ช่วยด้าน SecOps: นอกเหนือจากช่วยนักพัฒนาแล้ว GitLab Duo ยังช่วยทีมความปลอดภัยทำงานได้ชาญฉลาดขึ้น – AI สามารถตรวจสอบโค้ดเพื่อค้นหาช่องโหว่ (Vulnerability) และอธิบายรายละเอียดของปัญหาที่พบให้เข้าใจง่าย รวมถึงสร้าง Merge Request พร้อมโค้ดแก้ไข เพื่ออุดช่องโหว่นั้นให้อัตโนมัติ ทำให้ช่องโหว่ถูกแก้ได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระการตรวจโค้ดของทีม SecOps ลงอย่างมาก

  • เร่งแก้ไขปัญหาและลดดาวน์ไทม์: เมื่อเกิดปัญหาในกระบวนการส่งมอบ เช่น CI Job ล้มเหลว หรือ Pipeline ผิดพลาด GitLab Duo จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง (root cause analysis) ของปัญหานั้นๆ และเสนอแนวทางการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทำให้ทีมสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุดและรวดเร็ว ลดเวลาที่ระบบอยู่ในสถานะดาวน์หรือต้องรอการแก้ไข และช่วยให้ทีมกลับไปโฟกัสงานหลักได้ไวขึ้น

  • ทางเลือกการใช้งาน AI สำหรับองค์กร: GitLab Duo มีรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้าองค์กร. สำหรับลูกค้าที่ใช้ GitLab Premium หรือ Ultimate สามารถใช้งานฟีเจอร์ AI พื้นฐาน (เช่น Code Suggestions, Chat, etc.) ได้ทันทีบน Cloud ของ GitLab และหากต้องการขยายความสามารถ AI เพิ่มเติม ก็มี GitLab Duo Pro เป็นส่วนเสริม (Add-on) ให้ซื้อเพิ่มเพื่อปลดล็อกฟีเจอร์ AI ขั้นสูงยิ่งขึ้น. นอกจากนี้ สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีนโยบายด้านข้อมูลและความปลอดภัยเข้มงวด GitLab ยังมี GitLab Duo Enterprise ที่รองรับการติดตั้งระบบ AI ในรูปแบบ Self-Hosted บนโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรเอง (รองรับทั้งการติดตั้ง on-premise หรือใน Private Cloud ของลูกค้า) ทำให้ได้รับประโยชน์จาก AI ครบถ้วนโดยที่ข้อมูลไม่ต้องออกนอกองค์กรเลย

GitLab Security

ในยุคที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนลื่อง GitLab ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยอย่างจริงจังและรอบด้าน โดยได้ผสานระบบ Security แบบครบวงจรลงในทุกขั้นตอนของการพัฒนาและส่งมอบซอฟต์แวร์ (End-to-End Security) ภายใต้หลักการที่เรียกว่า Shift-left Security คือการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยตั้งแต่ระยะแรกของกระบวนการพัฒนา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดช่องโหว่ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

จุดเด่นสำคัญของ GitLab Security ได้แก่:

  • Security Scanning ครอบคลุมทุกมิติ

    • Static Application Security Testing (SAST): ตรวจสอบซอร์สโค้ดตั้งแต่ช่วงแรกของการพัฒนา เพื่อค้นหาช่องโหว่หรือโค้ดที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อระบบได้ก่อนที่จะรวมเข้ากับสาขาหลัก

    • Dynamic Application Security Testing (DAST): สแกนช่องโหว่ของแอปพลิเคชันที่กำลังทำงานจริง (Runtime) ช่วยตรวจจับจุดอ่อนที่อาจไม่พบในการสแกนแบบ static

    • Dependency Scanning: วิเคราะห์และตรวจสอบไลบรารีหรือ dependency ต่างๆ ที่นำมาใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการใช้งานเวอร์ชันที่มีช่องโหว่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของซอฟต์แวร์

    • Container Scanning: ตรวจสอบ Container images ที่ถูกนำไปใช้งาน ว่ามีช่องโหว่หรือปัญหาด้านความปลอดภัยหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปใช้ในระบบโปรดักชันหรือ Cloud

  • Security Dashboard (แดชบอร์ดรวมข้อมูลความปลอดภัย)

    • แสดงผลข้อมูลช่องโหว่และความเสี่ยงทั้งหมดที่ตรวจพบไว้ในหน้าจอเดียว

    • ช่วยให้ทีม Security และทีมพัฒนาสามารถจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ เพื่อแก้ไขได้ตรงจุด และประเมินความเสี่ยงได้ทันทีโดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลจากหลายระบบ

    • มีระบบแจ้งเตือนและสามารถสร้างรายการที่ต้องแก้ไข (To-do) สำหรับทีมงานได้อัตโนมัติ

  • Automated Compliance (การตรวจสอบมาตรฐานอัตโนมัติ)

    • ระบบช่วยให้มั่นใจว่ากระบวนการและซอฟต์แวร์ขององค์กรปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO, GDPR, PCI-DSS, HIPAA หรือมาตรฐานภายในองค์กร

    • ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการตรวจสอบด้วยมือ และประหยัดเวลาของทีม Compliance ในการเตรียมเอกสารหรือหลักฐานต่างๆ

  • Secret Detection (การตรวจจับข้อมูลสำคัญ)

    • ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญเช่น รหัสผ่าน, API keys, access tokens หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่อาจเผลอถูกใส่เข้าไปในซอร์สโค้ด

    • ทำการตรวจสอบทั้งก่อนที่จะ Push โค้ดเข้าระบบ (pre-receive hook) และตรวจสอบย้อนหลังสำหรับโค้ดที่อยู่ใน repository แล้ว (post-commit hook)

    • ช่วยให้องค์กรมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเผยแพร่โดยไม่ตั้งใจ พร้อมแจ้งเตือนและแนะนำแนวทางแก้ไขโดยทันทีเมื่อพบปัญหา

  • Vulnerability Management (ระบบจัดการช่องโหว่)

    • รวบรวมและจัดการข้อมูลช่องโหว่ที่ค้นพบจากทุกๆ การสแกนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

    • ช่วยทีม Security สามารถติดตามการดำเนินการของช่องโหว่ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการค้นพบ, วิเคราะห์ความเสี่ยง, มอบหมายผู้รับผิดชอบ และติดตามสถานะการแก้ไขช่องโหว่อย่างละเอียด

    • รองรับการบูรณาการกับระบบบริหารจัดการ Incident หรือ Security Operations Center (SOC) ขององค์กร เพื่อให้การทำงานด้านความปลอดภัยสอดคล้องกันทั่วองค์กร

  • Audit Logs และ Reporting (บันทึกกิจกรรมและรายงานการตรวจสอบ)

    • เก็บบันทึกกิจกรรมทุกประเภทที่เกิดขึ้นภายในระบบอย่างละเอียด ทั้งการเปลี่ยนแปลงโค้ด, การตั้งค่า permission, การล็อกอินและใช้งานระบบ, การแก้ไขการตั้งค่าด้านความปลอดภัย ฯลฯ

    • สามารถตรวจสอบย้อนหลัง (Audit Trail) ได้อย่างละเอียดหากเกิดเหตุการณ์ที่น่าสงสัย

    • รายงานการตรวจสอบสามารถนำไปใช้ในการทำ audit ภายในองค์กรหรือตอบสนองต่อการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก ช่วยให้องค์กรมีความโปร่งใสและปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

โดยรวมแล้ว GitLab Security คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้แก่องค์กรในการนำซอฟต์แวร์เข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุดไว้ได้ตลอดเวลา การใช้งาน GitLab Platform จึงช่วยให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัยสูงสุดแบบที่องค์กรระดับโลกต้องการ

GitLab ได้รับการยอมรับจาก Gartner / Forrester / G2

GitLab Platform ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานวิเคราะห์อุตสาหกรรมชั้นนำและชุมชนผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ระดับโลก เช่น Gartner, Forrester, และ G2 ซึ่งช่วยยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มนี้:

  • Gartner: GitLab ได้รับการจัดอันดับเป็น Leader ในรายงาน Gartner Magic Quadrant for DevOps Platforms ปี 2024 ซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ GitLab ครองตำแหน่งผู้นำในหมวดนี้ นอกจากนี้ GitLab ยังเป็นผู้ให้บริการรายเดียวที่ถูกจัดให้เป็น Leader ทั้งใน Magic Quadrant ด้าน DevOps Platforms และ Magic Quadrant ด้าน AI Code Assistants ปี 2024 แสดงถึงความเป็นเลิศของแพลตฟอร์มทั้งในแง่เครื่องมือ DevOps และความสามารถ AI

  • Forrester: ในรายงาน Forrester Wave™: Integrated Software Delivery Platforms (Q2 2023) ซึ่งเป็นการประเมินแพลตฟอร์ม DevOps แบบครบวงจรจากผู้ขาย 13 รายทั่วโลก GitLab เป็นเพียงรายเดียวที่ได้รับตำแหน่ง Leader โดย Forrester ให้คะแนน GitLab สูงสุดในหลายเกณฑ์ เช่น เครื่องมือความปลอดภัยในตัว, การทดสอบอัตโนมัติ, กลยุทธ์โร้ดแมปผลิตภัณฑ์, ชุมชนผู้ใช้ และความยืดหยุ่นด้านการกำหนดราคา รายงานดังกล่าวตอกย้ำว่า GitLab เป็นผู้นำในการผลักดันแนวคิด Integrated DevSecOps Platform และเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับองค์กรที่ต้องการ รวมเครื่องมือ DevOps กระจัดกระจายหลายๆ ตัวเข้ามาไว้ในแพลตฟอร์มเดียวที่มีประสิทธิภาพสูง

  • G2 (Peer Reviews): GitLab ได้รับเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่องจากผู้ใช้งานจริงบนแพลตฟอร์มรีวิวซอฟต์แวร์ G2. ในการจัดอันดับหมวด DevOps ช่วงฤดูร้อน 2024 GitLab ได้รับป้าย Leader ในหลายหมวดหมู่ ทั้งในภาพรวมและในระดับ Enterprise นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลด้านประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น Easiest to Use, Best Usability และป้าย Users Love Us ซึ่งสะท้อนถึงทั้งความนิยมในหมู่นักพัฒนาและความง่ายในการใช้งานของเครื่องมือ. การได้รับการยอมรับจากชุมชน G2 แสดงให้เห็นว่า GitLab เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จริงในสายงาน DevSecOps

เปรียบเทียบกับการใช้เครื่องมือแยกส่วน เช่น GitHub + Jenkins

ก่อนหน้าที่แพลตฟอร์ม DevSecOps แบบครบวงจรแบบ GitLab จะเกิดขึ้น หลายองค์กรใช้เครื่องมือแยกส่วนหลายตัวในการจัดการวงจรซอฟต์แวร์ เช่น ใช้ GitHub สำหรับเก็บซอร์สโค้ด และ Jenkins สำหรับ CI/CD ซึ่งการใช้เครื่องมือหลายชนิดเช่นนี้นำมาซึ่งความซับซ้อนและต้นทุนแฝงต่างๆ เช่น ค่าบำรุงรักษาแต่ละระบบ และปัญหาการที่เครื่องมือแต่ละตัวทำงานไม่สอดคล้องกันอย่างราบรื่น. ข้อแตกต่างระหว่างการใช้เครื่องมือแยกส่วนกับการใช้ GitLab Platform มีดังนี้:

  • เครื่องมือแยกส่วนหลายตัว: องค์กรจำนวนมากต้องบริหารจัดการเครื่องมือ DevOps หลายชิ้นไปพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดงานบำรุงรักษาและการผสานการทำงานที่ยุ่งยาก (ผลสำรวจพบว่า 84% ขององค์กรใช้เครื่องมือ DevOps ระหว่าง 2-10 ตัว และ 66% ต้องการรวมเครื่องมือเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน) นอกจากนี้ นักพัฒนากว่า 69% รายงานว่าพวกเขาใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งในสี่ไปกับการดูแลและบูรณาการเครื่องมือต่างๆ แทนที่จะได้โฟกัสกับการเขียนโค้ดจริงๆfile-t1essc1drmdutgyphgyrkd

  • GitLab Platform (แพลตฟอร์มรวมศูนย์): ด้วยการรวมฟังก์ชันทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียว GitLab ช่วยขจัดภาระในการดูแลเครื่องมือหลายตัว ทีมไม่ต้องเสียเวลาในการ context-switch ระหว่างระบบต่างๆ ทำให้วงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์รวดเร็วขึ้นอย่างมาก (มีการศึกษาพบว่าการลดเครื่องมือที่ต้องดูแลช่วยให้วงจรการออกซอฟต์แวร์เร็วขึ้นถึง 7 เท่า) อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนด้านไลเซนส์และการอินทิเกรตเครื่องมือด้วย

  • กรณีศึกษา: องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งได้เปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือแยกส่วนมาเป็น GitLab แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น บริษัทหนึ่งสามารถยกเลิกเซิร์ฟเวอร์ Jenkins ได้หลายพันเครื่องหลังย้ายมาใช้ GitLab เนื่องจาก GitLab CI/CD ที่รวมมากับแพลตฟอร์มสามารถรองรับงานได้ทั้งหมด และยังพบว่าความเร็วในการรัน CI pipeline เพิ่มขึ้นถึง 80 เท่า เมื่อเทียบกับเดิม สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการใช้แพลตฟอร์มรวมอย่าง GitLab ไม่เพียงลดความยุ่งยากในการดูแลระบบ แต่ยังให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเครื่องมือแยกส่วนอย่างมาก

บทสรุปของ GitLab Platform

GitLab Platform ได้พิสูจน์ตัวเองทั้งในด้านความครบวงจรของฟีเจอร์และผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม ลดเวลาการออกสู่ตลาด หรือสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าเครื่องมือเดิมที่กระจัดกระจาย. ด้วยการยอมรับจากทั้ง Gartner, Forrester และเสียงรีวิวจากผู้ใช้จริงใน G2 ทำให้มั่นใจได้ว่า GitLab คือทางเลือกยุทธศาสตร์สำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการก้าวสู่ DevSecOps แบบ End-to-End ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างแท้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์

เกี่ยวกับ AskMe Solutions

AskMe Solutions & Consultants Co., Ltd. คือพันธมิตรทางเทคโนโลยีและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ GitLab ในประเทศไทย เราให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค การออกแบบโซลูชัน DevSecOps ที่เหมาะกับองค์กรของคุณ ไปจนถึงการติดตั้ง เทรนนิ่ง และการดูแลหลังการขายอย่างต่อเนื่อง

ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในโครงการระดับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน AskMe พร้อมสนับสนุนให้ทีมไอทีของคุณ เปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย GitLab Platform

หากคุณกำลังมองหาโซลูชัน DevSecOps ที่พร้อมใช้และมีทีมมืออาชีพดูแลทุกขั้นตอน

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่

    • กรุงเทพฯ โทร 02-245-1335-7
    • ภาคเหนือ (เชียงใหม่) โทร 053-858-186
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น) โทร 096-415-4445
    • ภาคตะวันออก (ชลบุรี/ระยอง) โทร 099-614-4995
    • Email: sales@askme.co.th
    • Line: @askme